ครูเกษียณอายุราชการ2558
ข่าวสารทั่วไป
24โดย : admin
24/ส.ค./2558
2 stars ( 2 / 12 )
ประกาศผลการสอบวัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ SPK SCIENCE TEST ครั้งที่ 4 ( 2382 / )
ประกาศผลสอบวัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ SPK SCIENCE TEST ครั้งที่ 4 อ่านต่อ....
12โดย : admin
12/ส.ค./2558
3.5 stars ( 3.5 / 11 )
ค้นหารายชื่อนักเรียน ( 697 / )
ค้นหาชื่อนักเรียน อ่านต่อ....
ภาพกิจกรรมใหม่ล่าสุด
ข่าวการศึกษา
ข่าวครูบ้านนอก

กระดานถามตอบ


หัวข้อ (อ่าน/ตอบ)
โดย
วันที่
00004 : แนะแนวฟรี เทคนิคเรียนเก่งและสอบติวโควตา มข. (260/0)
BELL THEACT
1 ก.ย. 2558 : 00:18
00003 : จากผู้พัฒนาเว็บไซต์ รูปภาพ (320/0)
admin
23 ก.ค. 2558 : 16:11



ยินดีต้อนรับสู่ blogger มณีวรรณ ผงทอง

ข่าว

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

19-สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

การพัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม
     หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475   มีการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดในเรื่องการแต่งกาย ผู้ชายเริ่มแต่งกายแบบสากล คือสวมเสื้อนอกกระดุมห้าเม็ด กางเกงขายาวแบบสากล   รองเท้าหุ้มส้นและสวมถุงเท้า ยกเลิกการนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนและเสื้อราชปะแตน

นโยบายสร้างชาติทางวัฒนธรรมของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม
     ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยหลายประการ คือ
           1. การเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” ในปี พ.ศ.2482
           2. ใช้คำว่า “ไทย” กับคนไทย และสัญชาติไทย
           3. กำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งตรงกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “วันชาติไทย” เริ่มในปีพ.ศ.2482
           4. เปลี่ยนเนื้อร้องเพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี ไม่ให้มีคำว่า สยาม
           5. ให้ยืนตรงเคารพธงชาติพร้อมกันทั่วประเทศ ในเวลา 08.00 น. เชิญธงชาติขึ้น และเวลา 18.00 น. ชักธงชาติลง
           6. เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก “1 เมษายน” เป็น “1 มกราคม” ตามแบบสากล เริ่ม พ.ศ.2484
           7. การแต่งกาย
                        ข้าราชการให้แต่งเครื่องแบบ
                        ราษฎรทั่วไป                              ผู้ชาย ให้สวมเสื้อนอกคอเปิดหรือปิด นุ่งกางเกงขายาว สวมหมวกปีกสวมถุงเท้า รองเท้า                             ผู้หญิง สวมเสื้อนอกคุมไหล่ นุ่งผ้าถุง ห้ามนุ่งโจงกระเบน
                การแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ ผู้ชาย ใช้เสื้อขาว กางเกงขายาวขาว ผ้าผูกคอสีดำ สวมปลอกแขนสีดำ ที่แขนเสื้อด้านซ้าย สวมรองเท้าดำ ถุงเท้าดำ ผู้หญิง ให้แต่งชุดดำล้วน
           8. การกินอาหาร ให้ใช้ช้อนส้อมแทนการใช้มือเปิบ
           9. ห้ามกินหมากโดยเด็ดขาด
         10. ประกาศงดใช้พยัญชนะ 13 ตัว ได้แก่ ฃ ฅ ฒ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฌ ศ ษ ฬ ตัดสระออก 5 ตัว
                        ได้แก่ ฤ ฤา ฦ ฦา ใ แต่ในสมัย นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็นำกลับมาใช้ใหม่
         11. ให้ใช้คำว่า “ฉัน” , “เรา” , “เขา” , “ท่าน” , “มัน” ใช้คำรับและปฏิเสธว่า “จ้ะ” , “ค่ะ” , “ครับ” , “ไม่”
         12. ให้ใช้คำว่า “สวัสดี” ในโอกาสที่พบกัน
         13. ยกเลิกบรรดาศักดิ์ เช่น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน ให้ใช้ชื่อและนามสกุลแทน
         14. การตั้งชื่อบุคคลต้องให้เหมาะสมกับเพศและมีความยาวไม่เกิน 3 พยางค์
         15. ตั้งกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อ พ.ศ.2495 เพื่อส่งเสริมงานด้านวัฒนธรรม ภายหลังถูกยุบรวมกับกระทรวงศึกษาธิการ
การฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณี (พ.ศ.2501-2506)สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี
          1. พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา จัดให้มีพิธีเสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนามของหน่วยทหารรักษาพระองค์ มีการตกแต่งโคมไฟและประดับธงชาติตามสถานที่ราชการ บ้านเรือน ห้างร้าน เพื่อถวายพระเกียรติ
          2. ประกาศยกเลิกวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ และกำหนดวันชาติใหม่ คือ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
          3. ฟื้นฟูพระราชพิธีมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
          4. ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
          5. ฟื้นฟูพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
การฟื้นฟูพระราชพิธีที่สำคัญ สมัยจอมพลถนอม  กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
          1. ฟื้นฟูพระราชพิธีรัชดาภิเษก ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ 25 ปี ซึ่งรัชกาลที่ 5 เคยกระทำมาแล้ว
          2. ฟื้นฟูพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ในปีพ.ศ.2515 โดยคณะรัฐบาลได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ ทรงพระกรุณาสถาปนาเฉลิมพระบรมนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ ดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ตามโบราณขัตติยราชประเพณี
การศึกษาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง          1. รัชกาลที่ 7 เห็นความสำคัญของการศึกษาโดยไม่ตัดทอนรายจ่ายด้านการศึกษาเลย ถึงแม้จะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักก็ตาม
          2. หลัก 6 ประการของคณะราษฎร ก็มีการกำหนดการพัฒนาการศึกษา โดยริเริ่ม วางแผนการศึกษาแห่งชาติ จัดให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
          3. ในปี พ.ศ.2477 จัดตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ของไทย ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7
          4. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จัดตั้งสภาการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503 ขยายการศึกษาภาคบังคับ จาก 4 ปี เป็น 7 ปี
          5. ในปี พ.ศ.2520 ลดการศึกษาภาคบังคับ จาก 7 ปี เหลือ 6 ปี (ป.1-ป.6) และเพิ่มระดับมัธยมศึกษาจาก 5 ปี เป็น 6 ปี (ม.1-ม.6)
          6. ปัจจุบันปีพ.ศ.2546 การศึกษาภาคบังคับเพิ่มขึ้นจาก 6 ปี เป็น 9 ปี (จบม.3)
          7. ในปีพ.ศ.2514 รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิด คือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
          8. ในปีพ.ศ.2521รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยเปิดแห่งที่ 2 คือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
          9. ส่งเสริมให้เอกชนจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ปัจจุบันมีจำนวนมากหลายแห่ง เช่น ในภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยพายัพ ที่จังหวัดเชียงใหม่
        10. มหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นล่าสุดในภาคเหนือที่ จังหวัดเชียงรายคือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ สมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,  (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)
          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,
           ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,   (กรุงเทพฯ : อัมรินทร์การพิมพ์,2525)                                        
          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72.
          http://th.wikipedia.org/wiki/

18-สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง

สังคมวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง
การปรับปรุงทางด้านสังคมในสมัยรัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
     ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยเริ่มมีการปรับตัวทางด้านสังคมและวัฒนธรรมให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีทางตะวันตกภายหลังจากที่ไทยทำสนธิสัญญาทางการค้ากับ     ชาวตะวันตก

     การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 4

  • อนุญาตให้ไพร่เสียเงินแทนการถูกเกณฑ์แรงงานเข้ารับราชการ
  • ให้เสรีภาพแก่สตรีที่บรรลุนิติภาวะในการเลือกคู่ครองโดยพ่อแม่จะบังคับไม่ได้
  • ห้ามพ่อแม่ขายบุตรเป็นทาส
  • ห้ามสามีขายภรรยาเป็นทาสโดยเจ้าตัวไม่สมัครใจ
  • ให้นางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชาวอังกฤษ ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและธิดา
  • โปรดให้สตรีคณะมิชชันนารีผู้สอนศาสนาคริสต์เข้าไปสอนภาษาอังกฤษให้สตรีในราชสำนัก
การปรับปรุงประเพณีและวัฒนธรรมในสมัยรัชกาลที่ 4     1. ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า
     2. โปรดให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเพื่อเป็นของที่พระมหากษัตริย์พระราชทาน
เป็นบำเหน็จรางวัลแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการไทย และชาวต่างประเทศ

     3. ทรงเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยพระองค์ทรงร่วมเสวยด้วย
     4. ฟื้นฟูประเพณีการตีกลองร้องฎีกา เพื่อให้ทราบถึงทุกข์สุขของราษฎรโดยจะเสด็จ
ออกมารับฎีกาด้วยพระองค์เอง ทุกวันโกณ เดือนละ 4 ครั้ง
     5. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกนับถือศาสนา
     6. ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการเลือกประกอบอาชีพ
     7. กำหนดให้ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม เป็นวัดประจำรัชกาล ซึ่งรัชกาลที่ 4
ทรงสร้างขึ้นในเขตกรุงเทพมหานคร
     8. รัชกาลที่ 4 ทรงก่อตั้งธรรมยุตินิกาย เมื่อครั้งยังผนวชที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 3
การปรับปรุงด้านสาธารณสุขสมัยรัชกาลที่ 4
     
ด้านการสุขาภิบาล สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการสุขาภิบาลตามคำแนะนำของบาทหลวงมิชชันนารีบ้างแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด

ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)

          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,
           ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,   (กรุงเทพฯ : อัมรินทร์การพิมพ์,2525)                                        

          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72.
          http://atipong2505.blogspot.com/2009/02/blog-post.htm

17-สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

สภาพสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น             
     สภาพสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีลักษณะโครงสร้างไม่แตกต่างจากสมัยอยุธยาและธนบุรี ลักษณะโครงสร้างของสังคมไทยสมัยนี้  มีการแบ่งชนชั้น ถึงแม้จะไม่มีการแบ่งวรรณะอย่างอินเดีย แต่ฐานะความเป็นอยู่ของผู้คนก็แตกต่างกัน
องค์ประกอบของสังคมไทยแบ่งเป็น 4 ชนชั้น
     1. เจ้านาย  
ได้แก่ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะเป็นทั้งเทวราชาและธรรมราชา 
                    
     2. ขุนนางและข้าราชการ
                    
     3. ไพร่  เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แบ่งเป็น ไพร่หลวง และไพร่สม
      
     4. ทาส   ชนชั้นต่ำสุดในสังคมไทย ไม่มีอิสระในการดำเนินชีวิต ชีวิตขึ้นอยู่กับนายทาส แบ่งเป็น ทาสเชลย  ทาสในเรือนเบี้ย  ทาสสินไถ่  ทาสได้มาแต่บิดามารดา  ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย  ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑ์โทษ และทาสท่านให้  ทาสที่ทำความดีความชอบต่อบ้านเมืองสามารถเลื่อนฐานะตนเองสูงขึ้นเป็นขุนนางได้ ส่วนขุนนางที่ทำผิดก็สามารถลดฐานะลงเป็นทาสได้เช่นกัน

ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)
          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,
           ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,   (กรุงเทพฯ : อัมรินทร์การพิมพ์,2525)                                        
          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72.
          http://www.qoolive.com/show_blog/

16-ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การสร้างและพัฒนาชาติด้านเศรษฐกิจ 
     ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 คณะราษฎรได้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจปรากฏในหลัก 6 ประการ โดยขั้นแรกรัฐมอบหมายให้    หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม(นายปรีดี พนมยงค์) เป็นผู้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
1.รัฐบาลจะบังคับซื้อที่ดินทางกสิกรรมของราษฎรทั้งหมดโดยจ่ายเงินเป็นพันธบัตรรัฐบาล
2.รัฐจะจัดการเศรษฐกิจทั้งหมดในรูปของระบบสหกรณ์
3.บุคคลที่มีอายุระหว่าง 18-55 ปีจะเป็นข้าราชการทำงานให้รัฐตามความสามารถและ
 คุณวุฒิของตน โดยได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลหรือสหกรณ์ตามที่กำหนดซึ่ง                  
 เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปรวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว เพราะเป็นนโยบายของระบอบคอมมิวนิสต์จึงล้มเลิกไปในที่สุด

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1.ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเริ่มก่อตัวช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 6 เพราะใช้เงินในการปรับปรุง
   หน่วยราชการและบำรุงศิลปวัฒนธรรมจำนวนมาก      และมีรายรับลดลงเพราะเกิดปัญหาขัดแย้งในยุโรปจนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
2.สมัยรัชกาลที่ 7 เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเพราะสินค้าไทยขายไม่ได้ เพราะต่างชาติไม่มี
   การสั่งซื้อ
3.สมัยรัชกาลที่ 7 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งกระทบถึง
   ประเทศไทยด้วย

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของรัชกาลที่ 7
1.ยุบเลิกหน่วยราชการ
2.ปลดข้าราชการออกบางส่วน
3.ยอมลดรายจ่ายประจำปีของพระองค์ จาก 9 ล้าน เหลือ 6 ล้าน และ 3 ล้านบาทในที่สุดแต่
   ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะประเทศไทยขาดแคลนผู้ชำนาญการทางเศรษฐกิจและไม่มี
    แผนพัฒนาเศรษฐกิจ
 
“ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของรัชกาลที่ 7 เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คณะราษฎรอ้างเป็นสาเหตุในการปฏิวัติเมื่อปีพ.ศ.2475”

เศรษฐกิจไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
หลังการเปลี่ยนแปลงปกครอง พ.ศ.2475 เศรษฐกิจไทยเริ่มกระเตื้องขึ้น
                   สมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ( ป. พิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบาย  สร้างชาติทางเศรษฐกิจ โดย
1.กระตุ้นให้ประชาชนช่วยตัวเองในทางเศรษฐกิจ เช่น ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน
2.โฆษณาคำขวัญ “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยใช้สินค้าไทยและตื่นตัวในเรื่องชาตินิยม 3.เริ่มใช้นโยบาย รัฐวิสาหกิจ ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนมากมาย
4.สงวนอาชีพบางอย่างให้คนไทย เช่น ตัดผม
5.ตั้งกระทรวงอุตสาหกรรม และตั้งพระราชบัญญัติคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศ
เศรษฐกิจไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยประสบความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างหนักเพราะ
1.การขนส่งหยุดชะงัก ทำให้ขาดแคลนสินค้า ยารักษาโรค น้ำมัน และสินค้า
   ไทยขายไม่ได้
2.ญี่ปุ่นบังคับให้ไทยขายสินค้าให้ในราคาถูก ลดค่าเงินบาท 1 บาทเท่ากับ 1 เยน
   ญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรไทยเอง นำมาใช้ในประเทศไทย ทำให้ไทยเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง 3.ไทยเกิดน้ำท่วมอย่างหนัก ในเขตที่ราบภาคกลางทั้งหมด
เศรษฐกิจไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
-ไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายอย่าง
-รัฐบาลแก้ปัญหาโดยจัดทำโครงการชลประทานเจ้าพระยาใหญ่ (วางแผนไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5) โดยกู้เงินจากธนาคารโลกในปี พ.ศ.2493 นำมาสร้างเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2500 สามารถส่งน้ำช่วยเหลือการเกษตรในพื้นที่ภาคกลาง 
-ในปีพ.ศ.2504 กู้เงินจากธนาคารโลก เพื่อนำมาสร้างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก       สร้างเสร็จในปีพ.ศ.2507 สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในภาคกลางและภาคเหนือรวม 36 จังหวัดและส่งน้ำไปใช้ในการเกษตร


เศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
-ประเทศไทยเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งแรกในปีพ.ศ.2504   เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบ
-แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ช่วงแรก มุ่งเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค
 ได้แก่ ทางหลวง ไฟฟ้า การชลประทาน การสื่อสาร โทรคมนาคม
-ส่งเสริมการผลิตพืชไร่ ที่สำคัญได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด ปอ อ้อย ฯลฯ
-เกษตรกรเริ่มหันมาใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถเดินตาม เครื่องสูบน้ำ
  ปุ๋ยเคมี เมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ
-มีอุตสาหกรรมเกิดใหม่หลายอย่าง เช่น สิ่งทอ ผลไม้กระป๋อง เครื่องใช้ไฟฟ้า
  การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ห้องเย็น
-มีนโยบายลดการลงทุนด้านรัฐวิสาหกิจ โดยขายให้เอกชนดำเนินการเพราะรัฐทำแล้ว
  ขาดทุนเนื่องมาจากการฉ้อราษฎรบังหลวง ปัจจุบันเหลือเพียง   1.ไฟฟ้า  2.ประปา  3.โทรศัพท์  4.รถเมล์(ในกรุงเทพฯ)  5.รถไฟ  6.การบิน  7.ยาสูบ  8.สลากกินแบ่ง -ส่งเสริมให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย   โดยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนทุกอย่าง ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี   มีต่างประเทศมาลงทุนในไทยมากมาย เช่น ญี่ปุ่น  ฮ่องกง  ไต้หวัน  ยุโรป  อเมริกา 

เศรษฐกิจไทยภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
-หลังจากใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มาได้ 15 ปี (ฉบับที่ 1-3) ความเจริญกระจุกอยู่ที่
  ส่วนกลาง ทำให้ชาวชนบทอพยพเข้าสู่เมือง     ทำให้เกิดปัญหาประชากรหนาแน่น   แหล่ง เสื่อมโทรม   ในกรุงเทพ  ทำให้เกิดปัญหามากมาย   แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ   ฉบับที่ 4-5   จึงเน้นการกระจายรายได้ออกสู่ชนบท     โดยขยาย               อุตสาหกรรมและโครงการใหญ่ๆ สู่ภูมิภาค
-หลังจากประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ มาได้ประมาณ 20 ปี มูลค่าส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าตัว   สินค้าใหม่ๆ ที่ทำรายได้สูง ได้แก่ สิ่งทอ อัญมณี  แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ประมงแช่แข็ง ไก่แช่แข็ง   และรายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก ทำรายได้สูง-
-ในปี พ.ศ.2524 ไทยมีการขุดพบหลุมก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์   ได้มีการเร่งรัดพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (นิกส์) โดยส่งเสริม
-โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์   มุ่งเน้นให้เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก กำหนดให้ เขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น   โรงงานแยกก๊าซ ปิโตรเคมี ปุ๋ยเคมี กำหนดให้แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นที่ตั้งท่าเรือพาณิชย์และอุตสาหกรรม      ขนาดกลางและย่อม เพื่อการส่งออก และมีหลายโครงการดำเนินเสร็จแล้วและมี     โรงงาน   อุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย
-หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งร้ายแรง ปีพ.ศ.2531 (ไต้ฝุ่นเกย์) พลเอกชาติชาย  ชุณหะวัณ   ให้ความเห็นชอบให้มีโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) เพื่อพัฒนาทรัพยากร เช่น   ยางพารา กาแฟ มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ดีบุก   ก๊าซธรรมชาติและอุตสาหกรรมประเภทซ่อมเรือ ต่อเรือ ประมง   การขนส่งเชื่อม     ฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย   การบริหารประเทศในยุคต่อๆมาจนถึงปัจจุบันต่างก็ยึดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหลัก จนถึงปัจจุบัน   มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549)
-เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ เกิดขึ้นสมัย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ   เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นลักษณะที่ดูเหมือนเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว แต่ไทยก็เป็นหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก   ประชาชนใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย 
ผลเสียหายร้ายแรงของเศรษฐกิจแบบฟองสบู่
1.ค่าของเงินบาทเริ่มตกต่ำ แต่รัฐก็พยายามรักษาค่าเงินบาทสูงกว่าความเป็นจริง
2.สมัยพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เงินคงคลังที่เคยมีสูงถึง 4    หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐร่อยหรอลงเพราะรัฐบาลนำไปพยุงค่าของเงินบาท จนเหลือเพียง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ    จนทำให้ต่างประเทศไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทย มีการถอนการลงทุน ธุรกิจต่างๆ หยุดชะงัก    โรงงานอุตสาหกรรมปิดกิจการหลายแห่ง ประชาชนตกงาน เกิดภาวะ     เงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆจนรัฐบาลต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวและขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ    (IMF) โดยขอกู้เงินมาช่วยพยุงภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เรียกว่า “เศรษฐกิจยุค IMF” ประชาชนเรียกร้องให้
    พลเอกเชาวลิต    ยงใจยุทธ ลาออก
3.หลังจากพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ลาออก นายชวน  หลีกภัย  เข้ามารับหน้าที่แทน
   สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไทยก็ยังเป็นหนี้ IMF และใช้หนี้  
   ต่อไปในปีพ.ศ.2542    เศรษฐกิจไทยเริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย
4.ยุคของรัฐบาลที่นำโดย พรรคไทยรักไทย มีนายกรัฐมนตรี คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ    ในหลายด้าน จนภาวะเศรษฐกิจไทยดีขึ้น มีการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก    และที่สำคัญชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น เพราะรัฐบาลนี้เห็นความสำคัญของคนจน    และสามารถใช้หนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2546    ซึ่งถือเป็นผลงานสำคัญของรัฐบาลชุดนี้
5.ปัจจุบันเป็นยุคของรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ มีนายกรัฐมนตรี คือ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ     เป็นยุคที่ค่าเงินบาทแข็งค่า  ปัจจุบันเกิดปัญหาราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ขึ้นราคา    ทำให้เกิดผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันปาล์ม



ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)

          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,
          ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ , (กรุงเทพฯ :  อัมรินทร์การพิมพ์,2525)
          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72
          http://4.bp.blogspot.com/_sQrXJzxTtT0/
          http://www.weddinginlove.com/articles/

15-ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง (รัชกาลที่ 4-7)

ลักษณะทางเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปฏิรูปบ้านเมือง (รัชกาลที่ 4-7)
สภาพเศรษฐกิจในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยรัชกาลที่ 4 นั้น    พระราชกรณียกิจทางการบริหารประเทศอันดับแรกที่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงกระทำเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ คือ การลดภาษีสินค้าขาเข้า การอนุญาตให้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกได้ และการค้าฝิ่นโดยผ่านระบบเจ้าภาษี การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ หลังทำสนธิสัญญาเบาว์ริงแล้ว ระบบเศรษฐกิจของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบยังชีพไปสู่เศรษฐกิจแบบเงินตรากับนานาประเทศ
การค้าขายขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางโดยใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน

                                  


สนธิสัญญาเบาว์ริง

สาระสำคัญของสัญญาเบาว์ริงทางเศรษฐกิจ
1. คนในบังคับอังกฤษหรือชาติต่างๆ ทำการค้าได้โดยเสรี
2.ยกเลิกภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ โดยให้เก็บภาษีขาเข้าร้อยละ 3 แทน อนุญาตให้
   นำฝิ่นเข้ามาโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่จะต้องขายให้กับผู้ผูกขาดการค้าฝิ่นในเมืองไทยเท่านั้น
3.ไทยอนุญาตให้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกได้ ยกเว้นในปีที่ทำนาไม่ได้ผล 4.สินค้าออกให้เก็บเป็นภาษี
" ขาออกอย่างเดียว
5.ให้ไทยตั้งโรงภาษีหรือศุลกากร เพื่อทำการตรวจสินค้าต่างๆ ที่นำขึ้นมาจากเรือ และลงเรือเพื่อเก็บภาษีขาเข้าหรือขาออกแล้วแต่กรณีสนธิสัญญาเบาว์ริงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจของไทยอยู่หลายประการ คือ
1.การเปลี่ยนแปลงระบบการค้า ไทยยกเลิกวิธีการค้าแบบพระคลังสินค้าให้มีการค้าอย่างเสรี
2.การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ การผลิตหลังจากที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ    ระบบเศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง เป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า
3.การเปลี่ยนแปลงด้านภาษีอากร ไทยต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาด
4.การขยายตัวทางเศรษฐกิจอื่นๆ มีบริษัทและร้านค้าที่ชาวต่างชาติขอเปิดขึ้น
    มากมายในกรุงเทพฯ เช่น บริษัท บอร์เนียว จำกัด  บริษัท เรมีเดอมองตินยี จำกัด  หรือโรงแรมสมัยใหม่
    เช่น โฮเตลฟอลด์ เป็นต้น
5.การพัฒนาประเทศเพื่อรองรับความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่
     5.1 การตัดถนน ถนนสายแรกคือ ถนนเจริญกรุง ฝรั่งเรียกว่า นิวโรด (New Road)ต่อมา
           ได้ตัดถนนเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย เช่น ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื้องนคร ถนนพระรามที่ 4  นนสีลม
     5.2 การขุดคลอง พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองผดุงเกษม เพื่อใช้เป็นแนว
           ป้องกันพระนครชั้นนอกและเพื่อสะดวกในการคมนาคม    คลองมหาสวัสดิ์ คลองเจดีย์บูชา             คลองดำเนินสะดวก เพื่อสะดวกในการคมนาคม  ขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพฯกับหัวเมืองใกล้เคียง

การปฏิรูปเงินตราสมัยรัชกาลที่ 4
   สมัยรัชกาลที่ 4 ระบบการค้าเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบ
เงินตรามีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากการขาดแคลนเงินตราในการซื้อขาย       แลกเปลี่ยน เงินตราที่ใช้อยู่ทั่วไปคือ เบี้ย ซึ่งเป็นหอยชนิดหนึ่งได้มาจากหมู่เกาะมาลดีบในมหาสมุทรอินเดีย แต่อัตราแลกเปลี่ยนเบี้ยในท้องตลาดไม่ค่อยจะคงตัว โดยปกติจะอยู่ราว 800 เบี้ย ต่อ 1 เฟื้อง นอกจากนี้ก็มีการใช้เงินพดด้วง เป็นลักษณะก้องกลมมีตราประทับบนตัวด้วง เงินตราทั้ง 2ชนิดไม่เหมาะกับการค้าสมัยใหม่เพราะ เบี้ยแตกง่าย  เงินพดด้วงก็ปลอมได้ง่ายและผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการครั้งเมื่อพ่อค้าต่างชาตินำเงิน    
เหรียญสเปน หรือเหรียญเม็กซิโกเข้ามาใช้ ก็ไม่มีใครยอมรับ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อ     
การค้าขายมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหานี้ชาวต่างประเทศถึงกับแนะนำให้รัฐบาลไทยเลิกใช้   
เงินบาท โดยพ่อค้าเหล่านั้นจะผลิตเงินบาทเข้ามาใช้เอง แต่รัชกาลที่ 4  ไม่ทรงเห็นด้วยเพราะจะเป็นโอกาสให้มีเหรียญปลอมระบาดมากขึ้น
การแก้ปัญหาของรัชกาลที่ 4 ในเรื่องนี้ คือมีพระราชดำริที่จะเลิกใช้เงินพดด้วงซึ่ง
ทำด้วยมือซึ่งผลิตได้ช้าไม่ทันการมาใช้เงินเหรียญที่ผลิตจากเครื่องจักรแทน โดย            ซื้อเครื่องจักรมาจากต่างประเทศ เริ่มมีการผลิตเงินเหรียญเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.2403 และตั้งแต่นั้นมามีการผลิตเงินเหรียญในชนิดและอัตราต่างๆออกมา
ในปีพ.ศ.2405 โปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญดีบุกขึ้น2 ชนิด คือ อัฐมีราคา 8 อันต่อ
1 เฟื้อง  และโสฬส  มีราคา 16 อันต่อ 1 เฟื้อง
ปีพ.ศ.2406  โปรดเกล้าฯให้มีการผลิตเหรียญทองมีอัตราต่างกันตามลำดับ ดังนี้
คือ ทศราคาอันละ 8 บาท  พิศราคาอันละ 4  บาทและพัดดึงส์ราคาอันละ 10  สลึง
ปี พ.ศ.2408 โปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญทองแดง 2 ชนิดคือ  ซีกมีราคา 2 อันต่อ
1 เฟื้อง และเซี่ยว(ปัจจุบันเรียก เสี้ยว) มีราคา 4 อันต่อ 1 เฟื้อง  
โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯให้มีประกาศแจ้งให้ราษฎรได้ทราบ
และชักชวนให้ราษฎรมาใช้เงินเหรียญชนิดต่างๆที่ผลิตขึ้น
นอกจากเงินเหรียญชนิดต่างๆ แล้วรัฐยังได้พิมพ์ธนบัตรที่เป็นกระดาษคล้ายกับ
ปัจจุบันด้วยสมัยนั้น เรียกว่า “หมาย”มีราคาตั้งแต่เฟื้อง จนถึง 1 บาท ผู้ที่เป็นเจ้าของหมายจะได้รับเงินก็ต่อเมื่อนำหมายดังกล่าวนั้นไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติ แต่ราษฎรไม่เห็นประโยชน์จากการใช้กระดาษเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน การใช้หมายดังกล่าวจึงไม่แพร่หลาย
การตั้งโรงงานกระษาปณ์เพื่อผลิตเหรียญตรา ในปีพ.ศ.2403 ในขั้นแรกเป็นวิธีการ
ที่รัฐพยายามที่จะ แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่ผลที่ตามมานอกเหนือจากนั้น         ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการค้า เพราะการซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเงินตราในระบบใหม่ที่สะดวกกว่าระบบเก่า ย่อมจะทำให้    การค้าระหว่างประเทศขยายตัว ปริมาณการหมุนเวียนของสินค้ามีมากขึ้นตามไปด้วย


การปรับปรุงเศรษฐกิจในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411-2453)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปเศรษฐกิจ ดังนี้

1.การปฏิรูปด้านการคลัง รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น
ในปี พ.ศ.2416 ในพระบรมมหาราชวัง ทำหน้าที่รับผิดชอบรวบรวมเงินภาษีอากร          ทุกชนิดนำส่งพระคลังมหาสมบัติ ทำบัญชีรวบรวมผลประโยชน์ ตรวจตราการเก็บ       ภาษีอากรของหน่วยราชการต่างๆ ให้เรียบร้อยรัดกุม รับผิดชอบการจ่ายเงินเดือนในอัตราที่แน่นอนให้กับข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหาร
เฉพาะในส่วนกลางแทนการจ่าย เบี้ยหวัดและเงินปี



                                     



2. การปฏิรูประบบเงินตรา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงปฏิรูประบบเงินตรา  ดังนี้
           2.1การประกาศกำหนดมาตราเงินใหม่ ให้มีเพียง 2 หน่วย คือ บาทกับสตางค์
สตางค์ที่ออกมาใช้  ครั้งแรก มี 4 ขนาด คือ 20 , 10 , 5 และ 2 สตางค์ครึ่ง และประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วง
     2.2 การออกธนบัตร ประกาศใช้พระราชบัญญัติธนบัตร จัดตั้งกรมธนบัตรขึ้นเพื่อทำหน้าที่ออก ธนบัตรให้ได้มาตรฐาน ธนบัตรนั้นเดิมประกาศใช้มา   ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 แล้ว
     2.3เปรียบเทียบค่าเงินไทยกับมาตรฐานทองคำ ในพ.ศ.2451 ประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตรฐานทองคำ กำหนดอัตราแลกเปลี่ยน 13 บาท เท่ากับ 1 ปอนด์ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล




3.การตั้งธนาคาร มีบุคคลคณะหนึ่งร่วมมือก่อตั้งธนาคารของไทยแห่งแรกเรียกว่า
บุคคลัภย์ (Book Club) ได้รับพระราชทางพระบรมราชานุญาตจัดตั้งธนาคาร   จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเรียกชื่อว่า แบงค์สยามกัมมาจล   (Siam Commercial Bank) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด

4.การทำงบประมาณแผ่นดิน ในพ.ศ.2439 รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้การรับจ่ายของแผ่นดินมีความรัดกุม โปรดให้แยกเงินส่วนแผ่นดินและส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด โดยให้ พระคลังข้างที่ เป็นผู้ดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

5.การปรับปรุงทางด้านการเกษตรและการชลประทาน มีการขุดคลองเก่าบางแห่งและขุดคลองใหม
่อีกหลายแห่ง เช่น คลองนครเนื่องเขต คลองดำเนินสะดวก คลองประเวศน์บุรีรัมย์ คลองเปรมประชา
คลองทวีวัฒนา สร้างประตูระบายน้ำ เพื่อช่วยส่งน้ำให้เข้าถึงพื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกได้ ด้านการป่าไม้
โปรดให้ตั้ง  กรมป่าไม้ ส่งเสริมให้ปลูกสวนสัก และส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาป่าไม้  ณ  ต่างประเทศ

                                 

6.การพัฒนาทาด้านคมนาคม การสื่อสาร ได้มีการสร้างถนนขึ้นหลายสาย คือ
ถนนเยาวราช ถนนราช   ดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนบูรพา      ถนนอุณากรรณ ถนนดินสอ ส่วนสะพานข้ามคลองที่เชื่อมถนนต่างๆ ก็มี สะพานผ่านพิภพลีลา สะพานผ่านฟ้าลีลาศ สะพานมัฆวานรังสรรค์   สะพานเทวกรรมรังรักษ์
ในด้านการสื่อสาร ได้ทรงตั้งกรมไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรก พ.ศ.2426  ในพ.ศ.2418 เปิดบริการโทรเลขสายแรกระหว่างกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ
ด้านการสร้างทางรถไฟ มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ กับหัวเมือง       
ในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา  ทางรถไฟสายใต้                
ทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ  กรุงเทพฯ – พระพุทธบาท          
กรุงเทพฯ–มหาชัย–ท่าจีน– แม่กลอง    สายบางพระแบะสายแปดริ้ว ฯลฯ
 
การปรังปรุงเศรษฐกิจในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2453 – 2468)
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.การสนับสนุนการลงทุนธุรกิจอุตสาหกรรม ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน
การลงทุนจัดตั้งบริษัททำปูนซีเมนต์ สนับสนุนกิจการโรงไฟฟ้าสามเสน         ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการจัดตั้งบริษัทพาณิชยนาวีสยาม
2.การส่งเสริมทางด้านการเกษตร เช่น จัดตั้งกรมทดน้ำเพื่อจัดหาน้ำไว้ใช้ใน
การเพาะปลูก ส่งเสริมการขุดลอกคูคลอง จัดตั้งสถานีทดลองพันธ์ข้าวที่     คลองหกรังสิต  จัดตั้งสหกรณ์การเกษตรแห่งแรก  ชื่อ  สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้   ที่อำเภอเมือง   จังหวัดพิษณุโลก

3.การจัดตั้งสถาบันการเงิน ได้มีการตั้งธนาคารออมสินขึ้น เพื่อรับฝากเงินของราษฎรและ
มีที่เก็บเงินโดยปลอดภัย และเพื่อประโยชน์ในการหมุนเวียนเงินตรา

4.การเปลี่ยนแปลงมาตราชั่ง ตวง วัด โปรดให้ประกาศใช้มาตราชั่ง ตวง วัด ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแบบสากลโดยใช้ระบบของฝรั่งเศส

5.การปรับปรุงงานด้านการคมนาคม การขยายงานด้านรถไฟ โปรดให้ตั้งกรมรถไฟหลวงขึ้น และได้สร้าง
- เส้นทางรถไฟสายเหนือถึงเชียงใหม่ สายตะวันออกเฉียงเหนือถึงอุบลราชธานีและขอนแก่น สายตะวันออกถึงอรัญประเทศ และสายใต้ถึง  ปาดังเบซาร์ โดยเปิดสถานีหัวลำโพง สร้างสะพานพระราม 6 เพื่อเชื่อม    ทางรถไฟสายเหนือและสายใต้เข้าด้วยกัน สร้างทางรถไฟสายแรกระหว่างกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เปิดเดินรถไฟเส้นทางระยะแรกระหว่าง    กรุงเทพฯ-อยุธยา
-ด้านวิทยุโทรเลข โปรดให้กระทรวงทหารเรือ จัดตั้งสถานีวิทยุโทรเลขขึ้นที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพฯ
และที่สงขลา -การวางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ จัดตั้งกรมอากาศยานขึ้น และมีการบินขั้นทดลองครั้งแรก สร้างสนามบินดอนเมือง

6.การจัดตั้งกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์
 ขึ้นอยู่กับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ต่อมายกฐานะเป็นกระทรวงพาณิชย์
7.การยกเลิกหวย ก.ข. และการพนันบ่อนเบี้ย
รัชกาลที่ 6 โปรดให้ประกาศยกเลิก หวย ก.ข.

การปรับปรุงเศรษฐกิจในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ.2468-2484
เศรษฐกิจตกต่ำในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ใน พ.ศ.2468       ปัญหาแรกที่ต้องทรงแก้ไขอย่างรีบด่วน คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จึงมีการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ คือ ทรงวางระเบียบการใช้จ่ายเงินภายในพระราชสำนักเป็นอันดับแรก      ตัดทอนรายจ่ายฝ่ายราชการลงด้วยการลดจำนวนข้าราชการบริพารในกระทรวงวัง โดยเฉพาะ     
ในกรมมหาดเล็ก เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่หน่วยราชการต่างๆ มีการดุลยภาพข้าราชการก่อนกำหนด โดยให้รับเบี้ยหวัดเบี้ยบำนาญแทน

ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)

          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,           (กรุงเทพฯ :  อัมรินทร์การพิมพ์,2525)
          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72
          http://www.rakbankerd.com/agriculture/

14-ลักษณะทางเศรษฐกิจของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ลักษณะทางเศรษฐกิจของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

    เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นใหม่ๆนั้นการค้ากับต่างประเทศมียังไม่มาก
เพราะมีปัญหาภายในและต้องทำสงครามกับพม่า  ภายหลังไทยสามารถเอาชนะพม่าได้อย่างเด็ดขาดในสงครามท่าดินแดง(พ.ศ.2329)
ทำให้มีหลายประเทศเข้ามาทำการค้าด้วย เศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า 
เศรษฐกิจการค้าในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 
เจริญรุ่งเรือง คือ การปรับปรุงจัดทำเงินตราขึ้นใหม่ เงินตราที่ใช้ในสมัยนี้ คือ เงินพดด้วง

มีรูปร่างคล้ายตัวด้วง และมีตราเครื่องหมายประจำรัชกาลตีกำกับไว้
                             
                                         เงินพดด้วง

 1.  รายได้จากการค้ากับต่างประเทศ                                                            
     กรุงเทพฯ นับว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมในการติดต่อค้าขายทางเรือ 
เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทะเล ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ 
(ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3) 
ซึ่งทรงบังคับบัญชากรมท่า มีบทบาทในการส่งเสริมการค้าโดยเฉพาะกับจีน จนสมเด็จพระบรมชนกนาถ 
ทรงเรียกพระนามว่า "เจ้าสัว"  ต่อมาเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจัง การค้าขายกับต่างประเทศจึงขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าใน 2 รัชกาลแรก
รายได้จากการค้ากับต่างประเทศที่สำคัญ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ

           

 (1)  การค้าสำเภาหลวง   พระคลังสินค้า ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐขึ้นอยู่กับพระคลัง 
(พระยาโกษาธิบดี) มีหน้าที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ โดยการแต่งเรือสำเภาหลวงบรรทุกสิ่งของ
ที่เป็นส่วย เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม ฯลฯ  รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ที่จัดซื้อหาเพิ่มเติมออกไปค้าขายกับจีนและประเทศใกล้เคียง เช่น เขมร ญวน และมลายู แล้วรับซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ภายในประเทศ เช่น ผ้า ถ้วยชาม มาจำหน่ายแก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง ผลกำไรจากการค้าสำเภาหลวงนับเป็นรายได้ที่สำคัญยิ่งของแผ่นดิน
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
     (2)  กำไรจากการผูกขาดสินค้า   พระคลังสินค้ามีหน้าที่ควบคุมการค้ากับต่างประเทศ 
เช่นในสมัยอยุธยา โดยผูกขาดสินค้าบางอย่างซึ่งเป็นสินค้าหายาก ราคาแพง  เช่น รังนก ฝาง ดีบุก 
งาช้าง พริกไทย เนื้อไม้ ตะกั่ว และพลวง  เป็นสินค้าผูกขาดของหลวง  ราษฎรผู้ใดมีสินค้าดังกล่าว 
ให้นำมาขายแก่พระคลังสินค้า เท่านั้น  ห้ามเอกชนซื้อขายกับพ่อค้าต่างชาติโดยตรง  ถ้าชาวต่างประเทศ
ต้องการซื้อสินค้าเหล่านี้ จะต้องซื้อผ่านพระคลังสินค้าซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลาง เรียกสินค้าเหล่านี้ว่า 
สินค้าต้องห้าม
     (3)  ภาษีปากเรือ   เป็นค่าธรรมเนียม ซึ่งเก็บจากเรือสินค้าของชาวต่างประเทศที่เข้ามาจอดในเมืองท่าของไทย  กำหนดเก็บภาษีตามส่วนกว้าง
ที่สุดของเรือ      
     (4)  ภาษีสินค้าขาเข้า   เก็บจากสินค้าที่พ่อค้าต่างประเทศนำเข้ามาจำหน่าย เช่น ผ้าฝ้าย  
ผ้าแพรจีน  เครื่องแก้ว  เครื่องลายคราม  ใบชา  อัตราการเก็บไม่แน่นอน  ยืดหยุ่นตามความเหมาะสม  เช่น  เรือของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีเข้ามาค้าขายเป็นประจำ จะได้รับสิทธิพิเศษ ในสมัยรัชกาลที่ 2  เรือสินค้าของชาวจีนเสียภาษีสินค้าขาเข้าร้อยละ 4 ถ้าเป็นเรือสินค้าของชาติตะวันตก เสียภาษีร้อยละ 8 
ของราคาสินค้า
     (5)   ภาษีสินค้าขาออก   เก็บจากสินค้าที่ส่งออกในอัตราที่ต่างกันไปตามชนิดของสินค้า  
เช่น  ในสมัยรัชกาลที่ 2 รังนกนางแอ่นกับเขากวางอ่อน  เสียภาษีร้อยละ 20 ของราคาสินค้า  
งาช้างหาบละ 10 สลึง  เกลือเกวียนละ 4 บาท  หนังวัว  หนังควาย  กระดูกช้าง หาบละ 1 บาท
 
 

2.  รายได้ภายในประเทศ
    ส่วนใหญ่คงเป็นแบบเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและสมัยกรุงธนบุรี  
รัฐบาลมีรายได้จากการเก็บภาษีอากร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
     (1)   จังกอบ   หมายถึง  ภาษีสินค้าผ่านด่านทั้งทางบกและทางน้ำ  โดยการเก็บ
ตามสัดส่วนสินค้าในอัตรา 10 หยิบ 1  หรือเก็บเงินตามขนาดของยานพาหนะที่ขนสินค้า
ผ่านด่าน ส่วนใหญ่วัดตามความกว้างที่สุดของปากเรือ
     (2)   อากร   เป็นเงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรได้จากการประกอบอาชีพต่าง ๆ 
ที่ไม่ใช่การค้าขายโดยตรง เช่น การทำนา ทำสวน หรือเงินที่พ่อค้าเสียให้แก่รัฐบาล
ในการให้สัมปทานการประกอบการต่าง ๆ เช่น การให้เก็บของป่า การต้มสุรา 
อัตราที่เก็บประมาณ 1 ใน 10 ของผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้
     (3)   ส่วย   เป็นเงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงที่ไม่ต้องการเข้าเวรรับราชการส่งมาให้รัฐแทนการเข้าเวร
รับราชการ  โดยรัฐเป็นผู้กำหนดว่าให้ไพร่หลวงต้องเข้าเวรภายใน 3 เดือน  ผู้ใดไม่ต้องการจะเข้าเวร  
จะต้องเสียเป็นเงินเดือนละ 6 บาท
     (4)   ฤชา   เป็นเงินค่าธรรมเนียมที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎร  ในกิจการที่ทางราชการจัดทำให้  
เช่น  การออกโฉนด  เงินปรับสินไหม ที่ฝ่ายแพ้จะต้องชดใช้ให้แก่ฝ่ายชนะ  รัฐก็จะเก็บไปครึ่งหนึ่งเป็นค่าฤชา  
เรียกว่า  "เงินพินัยหลวง" นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงภาษีบางอย่างเพิ่มขึ้นจากเดิมในสมัยรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3  
ที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 
     สมัยรัชกาลที่ 2 มีการปรับปรุงภาษี ดังนี้
การเดินสวน  คือ  การให้เจ้าพนักงานที่ได้รับการแต่งตั้งออกไปสำรวจเรือกสวนของราษฎรว่าได้จัดทำผลประโยชน
์ในที่ดินมากน้อยเพียงใด แล้วออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานการเสียภาษีอากร  ซึ่งการจัดแบ่งภาษีการเดินสวนจัดแบ่งตามประเภทของผลไม้
การเดินนา  คือ  การให้เจ้าพนักงานออกไปสำรวจที่นาของราษฎร  แล้วออกหนังสือสำคัญให้เจ้าของถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการเสียภาษีอากรที่เรียกว่า "หางข้าว"  
คือ การเก็บข้าวในอัตราไร่ละ 2 ถัง และต้องนำไปส่งที่ฉางหลวงเอง
เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน   เดิมชาวจีนได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงานในขณะที่ราษฎรไทยที่เป็นไพร่
และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยต้องถูกสักข้อมือเป็นไพร่และต้องทำงานให้แก่มูลนายและพระเจ้าแผ่นดิน  
รัฐบาลไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 เห็นควรที่จะได้ใช้ประโยชน์จากแรงงานจีน จึงได้พิจารณาเก็บเงินค่าราชการ
จากชาวจีน 1 บาท 50 สตางค์ ต่อ 3 ปี   จีนที่มาเสียค่าแรงงานแล้ว จะได้รับใบฎีกาพร้อมกับได้รับการผูกปี้ข้อมือด้วยไหมสีแดงประทับตราด้วยครั่งเป็นตราประจำเมือง ซึ่งแตกต่างกันออกไป 
เช่น เมืองเพชรบุรีเป็นรูปหนู  กาญจนบุรี เป็นรูปบัว   การผูกปี้ข้อมือจีนนี้ เริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 
ได้เป็นประเพณีปฏิบัติสืบมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชบัญญัติลักษณะการผูกปี้ข้อมือจีน พ.ศ. 2443 
ออกใช้บังคับทั่วทุกมณฑล และได้ยกเลิกไปในตอนปลายรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2451
     สมัยรัชกาลที่ 3  มีการเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้นหลายชนิด  เช่น  ภาษีพริกไทย  น้ำตาล  เป็นต้น  
ในสมัยนี้มีระบบการเก็บภาษีแบบใหม่เกิดขึ้น  เรียกว่า  "ระบบเจ้าภาษีนายอากร"  หมายถึงการที่รัฐเปิดประมูลการเก็บภาษี  
ผู้ชนะการประมูล คือ ผู้ที่เสนอผลประโยชน์สูงสุดให้แก่รัฐบาล  มีอำนาจไปดำเนินการเก็บภาษีแทนรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง  
ผู้ที่ประมูลภาษี เรียกว่า "เจ้าภาษีนายอากร" ส่วนมากเป็นชาวจีนผู้มีฐานะดีทางเศรษฐกิจจากการลงทุนค้าขาย  


ผลดีของระบบเจ้าภาษีนายอากร คือรายได้จากการเก็บภาษีอากร
ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น  แต่มีข้อเสีย คือ เป็นระบบผูกขาด
ที่ให้แก่ชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะมีการขูดรีดภาษีจากราษฎรได้

 

ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ, 
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542)

          คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,           ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ , (กรุงเทพฯ :  อัมรินทร์การพิมพ์,2525)

          สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72

          http://www.oursiam.in.th/content/
          http://4.bp.blogspot.com/_sQrXJzxTtT0/

13-การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุค หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

การเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุค
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง


พัฒนาทางด้านประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่ 4-7

การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 5
    การรับอารยธรรมตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดการยอมรับความคิดของผู้อื่น           
ซึ่งเท่ากับเป็นการปูพื้นฐานประชาธิปไตย พอสรุปได้ ดังนี้
1.ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้น 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of  State) 
   และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) เพื่อแสดงการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น    แม้สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์แต่ก็นับเป็นการเริ่มระบอบประชาธิปไตย
2.ทรงเป็นผู้นำกลุ่ม สยามหนุ่ม (Young Siam) ในการต่อสู้ทางความคิดเห็นกับ
   คนรุ่นเก่าที่มักไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และออกหนังสือชื่อ ดรุโณวาท เพื่อเผยแพร่แนวคิดใหม่
3.ทรงยอมรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มคนหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้ากลุ่มสำคัญกลุ่ม
   หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพระราชวงศ์ และข้าราชการสามัญ ทรงยอมรับฟังว่า    
   หนทางที่ประเทศไทยจะรักษาเอกราชไว้ได้หนทางหนึ่งนั้น คือ การปรับระบบข้าราชการ 
   และเปลี่ยนการปกครองแบบ แอบโสลูตโมนากี (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) เป็นแบบคอนสติติวชันแนลโมนากี ห(พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ) แม้จะยังไม่ทรงสามารถปฏิบัติตามในขณะนั้นได้ก็ตาม
4.ทรงออกพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.2440 ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่ง คือ
   ให้มีการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งจัดว่าเป็นการปูพื้นฐานประชาธิปไตยที่ชัดเจน 

การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 6
     ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญของโลก ที่แสดงพลังอำนาจของประชาชนเป็นกระแสประชาธิปไตยที่รุนแรง กล่าวคือ ใน พ.ศ.2451 (ก่อนขึ้นครองราชย์ 2 ปี) ประเทศตุรกีก็ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นแบบประชาธิปไตย ในพ.ศ.2454 เกิดการปฏิวัติในประเทศจีน ขับไล่พระจักรพรรดิเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐและใน พ.ศ.2460 พระองค์ก็ได้ทรงทราบถึงการปฏิวัติใหญ่ของพวกบอลเชวิก ล้มล้างอำนาจ ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์และราชวงศ์ เกิดการนองเลือดทั่วไปในแผ่นดินรัสเซีย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงทราบดีว่ามีกลุ่มประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่งที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แม้จะทรงเห็นด้วย แต่ความรู้เรื่องประชาธิปไตยจำกัดขอบเขตอยู่ในคนส่วนน้อยเท่านั้น จึงทรงดำเนินพระราชกุศโลบาย
เพื่อเผยแพร่ประชาธิปไตย เป็น 3 วิธี คือ

     1.ทรงตั้งดุสิตธานี เมืองจำลองประชาธิปไตย ดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองหรือเมืองตุ๊กตา 
โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ.2461 บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ในพระราชวังดุสิต (ภายหลังย้ายไปวังพญาไท) มีถนน อาคารสถานที่ราชการ 
ร้านค้า และบ้านเรือนเหมือนเมืองจริงๆ แต่ย่อส่วนให้เล็กลงพอเดินดูเห็นได้หมดทั้งเมือง แล้วสมมุติให้ข้าราชการบริพาร ขุนนาง มหาดเล็กของพระองค์เป็นราษฎรของเมืองนี้ จัดให้มีการเลือกตั้ง สภานคราภิบาล ทำหน้าที่ปกครองเมือง มีการออกกฎหมายจัดระบบภาษีอากร ระบบการรักษาพยาบาล และกระบวนการต่างๆ 
ของเมืองประชาธิปไตย มีการเรียกประชุมราษฎรสมมุติเหล่านั้น มาร่วมกันเลือกตั้ง และแก้ไขเพิ่มเติมธรรมนูญของดุสิตธานี มีการอภิปรายถกเถียงกันระหว่างคณะนคราภิบาลกับฝ่ายค้านเพื่อเป็นแบบอย่างให้คนทั้งหลายได้เห็นและคุ้นเคยกับ
กระบวนการประชาธิปไตย เป็นการสอนหลักประชาธิปไตยแก่ประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดการเล่นละครอยู่แล้วคนทั่วไปจึงพากันเข้าใจว่าดุสิตธานีเป็นการเล่นละครอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้ผลในทางปลูกฝังประชาธิปไตยมากนัก



     2.ทรงเขียนบทความหนังสือพิมพ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 
ทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ นอกจากจะทรงมีพระปรีชาสามารถในทางพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองแล้ว ยังทรงเขียนบทความทางการเมืองตอบโต้กับคนหัวใหม่สามัญชน แม้พระองค์จะทรงใช้พระนามแฝงแต่คนทั่วไป
ก็ทราบดีว่าผู้เขียน คือ พระองค์ นับเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในหมู่พสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์มิได้ถือพระองค์ ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นนักประชาธิปไตย เป็นอีกก้าวหนึ่งในการปูพื้นฐานประชาธิปไตยของพระองค์ 
     3.พระราชทานอภัยโทษ กบฏ ร.ศ.130 กลุ่มผู้ก่อการกบฏ ร.ศ.130 ส่วนใหญ่เป็น
นายทหารหนุ่มซึ่งมีแนวคิดสมัยใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงไม่พอใจวิธีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องการให้มีการปกครอง
แบบประชาธิปไตยโดยเร็ว จึงร่วมกันคบคิด แต่ความลับรั่วไหลเสียก่อนถูกจับได้ทั้งหมดจึงถูกจำคุกบ้าง รอการลงอาญาบ้าน แต่ภายหลังก็ทรงพระราชทางอภัยโทษให้ทั้งหมด อีกทั้งยังแจกกางเกง ผ้าขาวม้า และเงิน 100 สตางค์ให้ทุกคนอีกด้วย การพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้อาจนับได้ว่าพระองค์ทรงเล็งเห็นความปรารถนาดีของกลุ่มก่อการกบฏ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศจึงไม่ทรงเอาโทษจัดเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่งของพระองค์

 

การปูพื้นฐานประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7
     ได้กล่าวมาแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จขึ้นครองราชย์ ในปีพ.ศ.2468 ท่ามกลางกระแสความคิดแบบประชาธิปไตย บรรดาสื่อมวลชนในเวลานั้น ซึ่งได้แก่ หนังสือพิมพ์รายวันและรายคาบ ต่างตีพิมพ์บทความแสดงความคิดเห็นทางการเมือง วิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดิน และข้อขัดแย้งระหว่างพระราชวงศ์กับราษฎรสามัญอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นแรงกดดันอย่างสำคัญที่พระองค์จะต้องทรงเร่งรีบพิจารณาพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนโดยเร็ว
สิ่งที่ปรากฏชัดว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงปรารถนาที่จะให้ประชาชนปกครองตนเอง ได้แก่ การที่พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาขณะที่ประทับรักษาพระเนตรอยู่ที่นั่นว่า พระองค์กำลังทรงเตรียมการที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทย และเมื่อเสด็จกลับประเทศไทยก็ทรงมีพระราชดำริชัดเจนว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 6 เมษายน 2475 วันเดียวกับวันพระราชพิธีเปิดสะพานพระปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ) เนื่องในโอกาสฉลองกรุงที่กรุงรัตนโกสินทร์สถิตสถาพรมาครบ 150 ปี โดยทรงให้ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศจัดร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ซึ่งกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย ได้มอบหมายต่อให้พระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศกับ นายเรย์มอนด์  สตีเวนส์  ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ 
ทั้งสองต่างถวายร่างของตน และถวายความเห็นตรงกันว่ายังไม่ควรปกครองประเทศในระบบรัฐสภา เนื่องจากประชาชนยังไม่พร้อม ควรทดลองในระดับท้องถิ่น (เทศบาล) ก่อน ที่สำคัญ คือพระองค์ยังทรงได้รับการทัดทานการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
จากพระบรมวงศานุวงศ์ในอภิรัฐมนตรีสภา จึงมิได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญตามกำหนดังกล่าว พระราชปณิธานอันนี้เองที่อธิบายได้ว่า เมื่อมีการปฏิวัติยึดอำนาจเหตุใดพระองค์จึงทรงยินดีมอบรัฐธรรมนูญ
ให้แก่พสกนิกรของพระองค์ โดยมิได้ทรงขัดขวาง จะมีขัดขวางก็ที่พระราชวงศ์ผู้ใหญ่บางพระองค์เท่านั้น

 

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475
นอกจากสาเหตุดั้งเดิมได้กล่าวมาแล้ว ยังเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ดังจะกล่าวต่อไปนี้
     1.เศรษฐกิจตกต่ำ ในระหว่าง พ.ศ.2472-2474 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก          สินค้าไทยโดยเฉพาะข้าวราคาตกต่ำ เกิดภาวะขาดแคลนทั่วประเทศ ประกอบกับประเทศไทยมี     รายจ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่สภาพคลอนแคลน
รายได้ – รายจ่ายของประเทศ พ.ศ.2463 – 2468


ปีงบประมาณ
รายได้
รายจ่าย
จ่ายเกิน
พ.ศ.2463
72,500,000
82,130,126
9,630,126
พ.ศ.2464
77,800,000
82,030,582
4,232,582
พ.ศ.2465
79,000,000
87,416,713
8,416,713
พ.ศ.2466
80,000,000
90,216,043
10,216,043
พ.ศ.2467
84,000,000
93,125,688
9,125,688
พ.ศ.2468
91,000,000
94,875,238
3,875,238




ที่มา : เกียรติชัย  พงษ์พาณิชย์, คณะราษฎร : ความขัดแย้งและรูปแบบเพื่อการครองอำนาจ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 6 (10)
มิถุนายน 2515 หน้า 59   ซึ่งรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 7 พยายามแก้ไขสถานะการคลังเป็นหลายวิธี เช่น ลาออกจากองค์การมาตรฐานทองคำ กำหนดค่าเงินบาทขึ้นใหม่ แต่ที่สำคัญซึ่งได้รับความเดือดร้อนกันทั่วไป คือ การเพิ่มภาษีราษฎรและการปลดข้าราชการออกเพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงินสร้าง             ความไม่พอใจให้แก่ข้าราชการที่พูดกันในสมัยนั้นว่า ถูกดุล เป็นอันมาก
     2.ความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับพระราชวงศ์ สามัญชนมีการศึกษาสูงขึ้น ที่จบจากต่างประเทศ กลับเข้ามารับราชการก็มีมาก แต่บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์บางพระองค์ทรงไม่สามารถปรับพระองค์ได้ ยังทรงถือเป็นข้าหรือบ่าวอยู่ตามเดิมอยู่ในลักษณะดูหมิ่นดูแคลน ทำให้สามัญชนที่มีความรู้ความสามารถเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ 
     3.แนวคิดที่ได้รับจากตะวันตก ข้าราชการที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกต้องการให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 
     4.การประวิงเวลาพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน 2475 การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มิอาจพระราชทานรัฐธรรมนูญในโอกาสสมโภชกรุงครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2475 เพราะได้รับการทัดทานจากคณะอภิรัฐมนตรี เป็นการเร่งรัดให้มีการปฏิวัติโดยเร็วยิ่งขึ้น เพราะข้าราชการที่มีความคิดก้าวหน้าเห็นว่า หนทางที่จะได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดยไม่ใช้กำลังบังคับนั้นไม่มีแล้ว
เหตุการณ์การปฏิวัติ 
กลุ่มผู้ริเริ่ม คือ นักเรียนไทยในฝรั่งเศส ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญตั้งแต่ต้น ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ กับ ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ เมื่อบุคคลเหล่านี้กลับประเทศไทย ก็รวบรวมผู้คนซึ่งมีความคิดอย่างเดียวกัน โดยนายปรีดี  พนมยงค์  ซึ่งได้รับพระราชทางบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์ มนูธรรมเป็นผู้ดำเนินการด้านพลเรือน และร้อยโทแปลก  ขีตตะสังคะ ซึ่งได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เป็นพันตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้ดำเนินการด้านทหาร เมื่อรวบรวมผู้คนได้จำนวนมากพอสมควรจึงตั้งชื่อ  คณะปฏิวัติว่า คณะราษฎร มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์  พหลโยธิน) เป็นหัวหน้า พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เทพ  พันธุมเสน) พันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์ (สละ  เอมะศิริ) และพันโท               พระประสาทพิทยยุทธ (วัน  ชูถิ่น) เป็นรองหัวหน้า
การปฏิวัติเริ่มในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ขณะที่รัชกาลที่ 7 ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  โดยอ้างกับกองทหารต่างๆ ว่าเป็นการซ้อมรบยุทธวิธีอย่างใหม่ เมื่อมาถึงพร้อมกันจึงได้ประกาศว่าเป็นการปฏิวัติ หลังจากพระยาพหลพลพยุหเสนาอ่านประกาศแล้วจึงส่งกำลังเข้าควบคุมสถานที่สำคัญๆ ทางราชการในกรุงเทพฯ และแยกย้ายกันไปถวายอารักขา (ควบคุม) พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงและบุคคลสำคัญเพื่อเป็นตัวประกันสำหรับต่อรอง เช่น จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์  กรมพระนครสวรรค์วรพินิต  ประธานอภิรัฐมนตรีสภา และเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรฯทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการพระนครอยู่พระองค์ท่านทรงตัดสินพระทัยไม่ใช้กำลังโต้ตอบคณะราษฎรให้เกิด
การเสียเลือดเนื้อขึ้น และทรงยินยอม ออกแถลงการณ์ให้ประชาชนอยู่ในความสงบ
ระหว่างนั้นทางฝ่ายคณะราษฎรได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ประชาชนทราบ และได้แถลงหลัก 6 ประการ อันเป็นนโยบายของคณะราษฎรที่จะนำมาใช้บริหารประเทศ

หลัก 6 ประการของคณะราษฎร



1.หลักเอกราช  จะรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางการศาล    ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
2.หลักความปลอดภัย จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก    และสร้างความสามัคคีของคนในชาติ
3.หลักเศรษฐกิจ จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ    จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4.หลักเสมอภาค จะให้ราษฎรมีสิทธิเสมอหน้ากัน ไม่ให้ผู้ใดมีสิทธิเหนือผู้อื่น
5.หลักเสรีภาพ จะให้ราษฎรมีอิสระที่จะใช้สิทธิ ผู้ใดจะบังคับมิได้
6.หลักการศึกษา จะให้การศึกษาแก่ราษฎรอย่างทั่วถึง
   หลังจากนั้นคณะราษฎรได้ทำหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7    ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ    พระองค์ทรงยอมรับตามข้อเสนอของคณะราษฎร    เพื่อให้ประเทศชาติมีรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศตามที่ทรงมีพระราชปณิธานอยู่แล้    ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองประสบความสำเร็จ โดยปราศจากการเสียเลือดเนื้อ
   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จกลับกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2475    คณะราษฎรได้นำรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ซึ่ง                
   หลวงประดิษฐ์มนูธรรมและคณะราษฎรบางคนได้ร่างขึ้น    ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธย    พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475    นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
   จากนั้นคณะราษฎรจึงได้คัดเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 70 คน ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ    ตั้งขึ้นเป็นสภาผู้แทนราษฎร    ละได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 ชุด ชุดแรกมีจำนวน 14 คน ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน    ชุดที่สองจำนวน 9 คน เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร

 

พัฒนาทางการเมืองการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ.2475-ปัจจุบัน)

วิกฤตการณ์ทางการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง    การพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 
     พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ     ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วจึงได้มีการตั้งคณะรัฐมนตรี จำนวน 20 คนทำหน้าที่บริหารประเทศ มี
พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่รัชกาลที่ 7 พระราชทานให้ใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ มีดังนี้
1.พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้
2.อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นพระประมุข ทรงใช้อำนาจนี้แก่โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ    อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ นิติบัญญัติ  บริหาร  และตุลาการ
3.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี 
   มีสมาชิก 2 ประเภท    จำนวนเท่ากันเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยมีสมาชิกประเภทที่ 1 ได้แก่ สมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งเข้ามา และประเภทที่ 2    ได้แก่สมาชิกที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
4.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างน้อย 14 นาย อย่างมาก 24 นาย
5.พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล ซึ่งจัดตั้งตามกฎหมาย เพื่อพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
   ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองขึ้น    ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความคิดเห็นขัดแย้งในคณะรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี  พนมยงค์)    ซึ่งพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าเค้าโครงการเศรษฐกิจนี้ดำเนินการตามหลักการของประเทศสังคมนิยม    ซึ่งก็สอดคล้องกับพระบรมราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ 7    ในขณะเดียวกันพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ออกคำสั่งห้ามข้าราชการและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าเป็นสมาชิกสมาคม
   เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งเท่ากับจะเป็นการล้มคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2476    พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา    และออกพระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์    ซึ่งเป็นผลทำให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องเดินทางออกนอกประเทศ    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคณะราษฎรจึงปรากฏเด่นชัดขึ้น ในที่สุด    พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา จึงก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาล    เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี    อำนาจของคณะราษฎรจึงคืนกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกันนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้เดินทางกลับประเทศไทยเข้าร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่

กบฏบวรเดช
               


     เหตุการณ์ในระยะต่อมามีหลายสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าสมาชิกคณะราษฎรบางคนละทิ้งสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และละเลยหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการปล่อยให้ประชาชนฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนส่วนหนึ่ง พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม กับพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น  ท่าราบ)  และนายทหารผู้ใหญ่อีกหลายคน จึงได้ก่อการกบฏขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2476 เพื่อให้มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง คณะกบฏเคลื่อนกำลังทหารนครราชสีมา สระบุรี อยุธยา มาจนถึงดอนเมือง เกิดการสู้รบขึ้นจนถึงขั้นประจัญบาน แต่ในที่สุดกองทหารฝ่ายรัฐบาลอันมีพันตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการรบก็สามารถปราบลงได้ พันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามตายในที่รบ และพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเสด็จลี้ภัยไปต่างประเทศ

การสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
     การกบฏครั้งนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อพระราชฐานะของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะคณะราษฎรเข้าใจว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการกบฏ ทั้งๆ ที่ทรงวางพระองค์เป็นกลาง ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ 7 และคณะราษฎรจึงร้าวฉานยิ่งขึ้น
ต้น พ.ศ.2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จไปรักษาพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างนั้นได้ทรงขอให้คณะราษฎรคำนึงถึงความต้องการอันแท้จริงของประชาชน และให้ปกครองประเทศตามหลักสากลเยี่ยงนานาประเทศ แต่ไม่สัมฤทธิผล จึงทรงประกาศสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม 2477  รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นลงมติเห็นชอบกราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (โอรสพระองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5) ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8

การสร้างและพัฒนาชาติด้านการเมือง 
     ในสมัยประชาธิปไตยของไทย เป็นสมัยที่วิทยาการและเทคโนโลยีของโลกกำลังเจริญขึ้น การติดต่อระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้การบินนานาชาติยังไม่มี แต่การติดต่อสื่อสารทางวิทยุ และโทรเลข ก็สามารถทำได้สะดวก ทำให้ประเทศซึ่งแม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่ เริ่มมีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น นับตั้งแต่การส่งทหารไปร่วมรบในสงครามโลก เป็นต้นมา

การแก้ไขสนธิสัญญาเสียเปรียบและยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต 
     สัญญาเสียเปรียบที่ไทยเราทำกับนานาประเทศไว้ในในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นยังมีผลใช้บังคับเรื่อยมา เป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างและพัฒนาชาติ โดยเฉพาะสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาติต่างๆ ทำให้ไทยไม่มีเอกราชสมบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงแก้ไข โดยถือโอกาสที่ไทยเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจา คือ ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ เป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและเป็นบุตรเขยของประธานาธิบดีวิลสันแห่ง สหรัฐอเมริกา ภายหลังได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยากัลยาณไมตรี แต่เจรจาสำเร็จเพียง 2 ประเทศ ได้แก่ 1.สหรัฐอเมริกา  2.ญี่ปุ่นเนื่องจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคตเสียก่อน ทำให้ต้องพยายามต่อมา และสามารถแก้ไขได้หมดทุกประเทศในสมัยรัฐบาลประชาธิปไตย ในพ.ศ.2481

กรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ.2483 ไทยได้ดินแดนบางส่วนคืนจากฝรั่งเศส
     ในพ.ศ.2482 ได้มีสงครามเกิดขึ้นในทวีปยุโรป กองทัพเยอรมันบุกเข้ายึดประเทศโปแลนด์ รุกเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศในยุโรป จนลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ความรู้สึกชาตินิยมในประเทศไทยทำให้เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส รัฐบาลขอให้ฝรั่งเศสทำความตกลงปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสเสียใหม่ แต่ตกลงกันไม่ได้และฝรั่งเศสยังไม่ล่วงละเมิดพรมแดนไทย และใช้กองทัพเรือฝรั่งเศสในอินโดจีนล่วงล้ำน่านน้ำทะเลไทยทางด้านจังหวัดตราด จึงเกิดการรบขึ้นทั้งทางบกและทางทะเล กองทัพได้บุกเข้าไปในดินแดนอินโดจีนและยึดดินแดนคืนได้หลายแห่ง แต่ก่อนที่จะยึดได้ทั้งหมด ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจและเริ่มมีบทบาทในอินโดจีน เข้ามาไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสยอมคืนดินแดนฝรั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไปครั้งที่ 4 ในสมัยรัชกาลที่ 5 และปรับปรุงแนวเขตแดนใหม่ ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงส่วนที่ตรงข้ามกับหลวงพระบาง ไทยตั้งชื่อเป็นจังหวัดล้านช้าง และดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตอนล่าง ตั้งชื่อเป็นจังหวัดจำปาศักดิ์ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง การปรับปรุงเขตแดนคราวนี้ ทำให้ราชอาณาจักรไทยครอบคลุมไปถึงทะเสสาบเขมรตอนบน

 

วิกฤตการณ์ทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
     ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสงบนั้น ในฐานะที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ จึงถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศ ทิ้งระเบิดทำลายจุดยุทธศาสตร์ เช่น สะพาน โรงไฟฟ้า และอาคารต่างๆ ประชาชนได้รับความลำบากเดือดร้อน จอมพล ป. พิบูลสงคราม (หลวงพิบูลสงคราม) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีเวลานั้น จึงถูกสถานการณ์บีบคั้น ในที่สุดก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2487 เมื่อแพ้คะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อกอบกู้สถานการณ์บ้านเมือง พ.ศ.2488
     เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลาออก นายควงอภัยวงศ์ (หลวงโกวิทอภัยวงศ์) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ.2475 ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และได้ลาออกให้นายทวี  บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพื่อรอ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  กลับจากสหรัฐอเมริกามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้สถานการณ์บ้านเมืองที่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เนื่องจาก ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  เป็นหัวหน้าคณะเสรีไทย เป็นที่รู้จักดีของสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจชั้นนำของฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้น ซึ่ง ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ก็แก้ไขสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จนประเทศไทยไม่มีสภาพเป็นผู้แพ้สงคราม
แม้ไทยจะได้ชื่อว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 แต่ตลอดเวลานั้นอำนาจในการบริหารประเทศที่แท้จริงตกอยู่ในมือของคณะทหารที่มี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้นำ เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม หมดอำนาจลงภายหลังสงครามโลก มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2492 พรรคการเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ประชาชนมีโอกาสได้สัมผัสระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีผู้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นนายกรัฐมนตรี คือ นายปรีดี  พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) และพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์  (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์)  แม้ทั้งสองท่านนี้จะร่วมอยู่ในคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ด้วย แต่ก็เป็นฝ่ายที่ไม่นิยมใช้กำลัง

รัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์ , สาเหตุการรัฐประหาร พ.ศ.2490



    หลังสงครามโลกสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้เสด็จนิวัตประเทศไทย พร้อมด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน) และก่อนที่จะเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ในวันที่ 9 มิถุนายน  พ.ศ.2489 คณะทหารซึ่งนิยม จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงอ้างเป็นสาเหตุหนึ่งกระทำรัฐประหารเข้ายึดอำนาจขับไล่รัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 และให้นายควง  อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคสหชีพ ของพลเรือตรีถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ 6 เดือนต่อมาคณะรัฐประหารก็ให้ออก แล้วเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีแทน

การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ 
    เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงเวลาที่เวทีการเมืองของโลก แบ่งออกเป็น 2 ค่ายใหญ่ ๆ ได้แก่ ค่ายเสรีประชาธิปไตย หรือค่ายตะวันตก มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ กับค่ายคอมมิวนิสต์ หรือค่ายตะวันออกมีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ 
(ใน พ.ศ.2492 จีนทั้งประเทศตกอยู่ในอำนาจของ เหมา  เจ๋อ  ตุง  ซึ่งปกครองประเทศในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์) ทั้งสองค่ายต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งคุกคามสันติภาพของโลก และแสวงหาประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นพรรคพวก  จอมพล ป. พิบูลสงคราม จังตัดสินใจนำประเทศเข้าร่วมกับค่ายเสรีประชาธิปไตย และทุ่มเทความไว้วางใจให้แก่สหรัฐอเมริกา

การเข้าร่วมสงครามเกาหลี 
    สหประชาชาติลงมติว่าจีนและเกาหลีเหนือ เป็นฝ่ายรุกรานเกาหลีใต้ ในพ.ศ.2493 และส่งกองทัพสหประชาชาติเข้าไปช่วยเกาหลีใต้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงส่งกำลังทหารไทยไปร่วมในกองทัพสหประชาชาติด้วย ทั้งกำลังทางบกและทางเรือ

สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
    ภาวะการคุกคามระหว่าง 2 ค่าย ที่เรียกว่า สงครามเย็น ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในที่สุดก็เกิดความร่วมมือทำสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ส.ป.อ) ขึ้น ประกอบด้วยสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย  นิวซีแลนด์  ปากีสถาน  ฟิลิปปินส์ และไทย  มีสาระสำคัญว่า เมื่อประเทศใดถูกรุกรานประเทศที่เหลือจะเข้าช่วย

จอมพล ป. พิบูลสงครามกับไฮด์ปาร์คที่สนามหลวง
     การเข้ามามีอำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีโดยอำนาจรัฐประหารใน พ.ศ.2490 ทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการต่อต้านจากประชาชน มีการกบฏเกิดขึ้นหลายหน แต่สามารถปราบได้ เป็นเหตุให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องหาวิธีแก้ไข ได้เดินทางไปดูงานในต่างประเทศ พบว่าประชาชนอังกฤษในลอนดอน มีสิทธิเสรีภาพในการพูดการเมืองที่สนามในสวนหลวงที่ชื่อ ไฮด์ปาร์ค จึงนำมาใช้บ้าง โดยยอมให้มีการพูดการเมืองได้อย่างเสรีที่สนามหลวง (การพูดเช่นนี้ผู้คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ไฮด์ปาร์ค)

รัฐประหาร พ.ศ.2500
     จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งเสริมประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 แต่ประชาชนไม่พอใจ เชื่อว่าฝ่ายรัฐบาลโกงการเลือกตั้ง เนื่องจากที่เขต (อำเภอ) ดุสิตนั้นนับคะแนนผลการเลือกตั้งเป็นเวลาถึง 3 วัน 3 คืน นิสิตนักศึกษาและประชาชนจึงเดินขบวนไปประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก สามารถทำความเข้าใจกับนิสิตนักศึกษาและประชาชนได้ จึงมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากเคยมีชื่อเสียงในการปราบกบฏมาแล้ว เมื่อเห็นว่าประชาชนสนับสนุน อีกไม่กี่เดือนต่อมา จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 และเชิญให้นายพจน์  สารสิน เลขาธิการ ส.ป.อ. ซึ่งสหรัฐอเมริกายอมรับนับถือมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยจนตลอดชีวิต)

จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี 
     เมื่อนายพจน์  สารสิน  จัดการเลือกตั้งสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ลาออกให้ จอมพลถนอม           กิตติขจร (ขณะนั้นมียศพลโท) ผู้ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารใหม่ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และตั้งคณะรัฐบาลทหารขึ้น มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี

ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ 
     รัฐบาลทหารของจอมพลสฤษดิ์ บริหารราชการแผ่นดินด้วยความเข้มแข็ง มีการระดมกำลังสมองจากนักปราชญ์นักวิชาการมาช่วยชาติบ้านเมือง เช่น กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (ม.จ.วรรณไวทยากร  วรวรรณ) และหลวงวิจิตรวาทการ เป็นต้น  ปกครองบ้านเมืองอย่างเฉียบขาด มีการตอบโต้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อย่างจริงจัง และสนิทแนบแน่นกับสหรัฐอเมริกา จนได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินมาพัฒนาประเทศเป็นอันมาก
แต่การบริหารนั้นก็เกิดหละหลวม เมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมใน พ.ศ.2506 จึงมีการกล่าวหาว่าจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จนถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน

รัฐบาลถนอม – ประภาส (พ.ศ.2506 – 2516)
     จอมพลถนอม กิตติขจร  ได้สืบทอดเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากจอมพลสฤษดิ์  คนทั่วไปเรียกว่า รัฐบาลถนอม-ประพาส เพราะจอมพลประภาส  จารุเสถียร ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำลังสำคัญของรัฐบาล เป็นเครือญาติกับจอมพลถนอมโดยการสมรสของบุตร
รัฐบาลถนอม – ประภาส ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ในเวลาหลายปี จนถึงปลายปี พ.ศ.2511 จึงเสร็จและมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในต้นปี พ.ศ.2512 ซึ่งฝ่ายรัฐบาลถนอม-ประภาสตั้งพรรคการเมืองขึ้น ชื่อพรรคสหประชาไทย และชนะการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง จึงมีรัฐบาลถนอม-ประภาสอีก แต่ไม่ถึง 2 ปี จอมพลถนอม กิตติขจรก็ทำรัฐประหารตนเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบรัฐสภาผู้แทนราษฎร ตั้งรัฐบาลทหารขึ้นใหม่ เป็นรัฐบาลถนอม-ประพาส ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

วันมหาวิปโยค  14  ตุลาคม   2516
     

     การยกเลิกรัฐธรรมนูญ  ทำให้ประชาชนไม่พอใจ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2511 นั้นใช้เวลานานหลายปีผิดปกติอยู่แล้ว ครั้นใช้มาไม่ถึง 3 ปี ก็ยกเลิกเสีย ไม่แน่ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะร่างใหม่ได้สำเร็จ จึงมีนักศึกษา อาจารย์  และนักกฎหมายรวม 13 คน ประกาศเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกต้องจับกุม
เมื่อคณะผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญถูกจับกุม จึงเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวบุคคลทั้ง 13 คนนั้นการชุมนุมได้รับความสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมขึ้นไปฝ่ายรัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม ทำให้เหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต เกิดนองเลือดในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 มีผู้คนเสียเลือดเนื้อล้มตาย ทำให้ประชาชนบางพวกโกรธแค้นถึงกับเผาทำลายอาคารสถานที่และยานพาหนะของทางราชการ
แต่ด้วยเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เหตุการณ์จึงได้สงบ โดยจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส  จารุเสถียร ยอมลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกไปจากพระราชอาณาจักร

นายสัญญา  ธรรมศักดิ์ นายกฯพระราชทาน 
     เมื่อจอมพลทั้งสองเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา  ธรรมศักดิ์  ประธานองคมนตรีในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  มีภารกิจสำคัญ  คือ ฟื้นฟูระเบียบของบ้านเมือง ประสานสามัคคีในหมู่คนในบ้านเมืองกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว  และร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมขึ้นใช้ปกครองประเทศ
ในที่สุดบ้านเมืองก็สงบดังเดิม  การร่างรัฐธรรมนูญได้เสร็จสิ้นลง และประกาศใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2517 เป็นรัฐธรรมนูญที่นักการเมือง และนักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยดีที่สุด สมกับที่ได้มาด้วยความยากลำบาก

เหตุการณ์ภายหลังวันมหาวิปโยค 
     ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 มีรัฐบาลบริหารประเทศหลายชุด แต่ต่างก็เข้ามาบริหารประเทศในช่วงเวลาสั้นๆ

รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  (ก.พ.2518)
     เริ่มแรกที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญใหม่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค  ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะรัฐบาลขึ้น แต่เมื่อถึงวันแถลงนโยบายไม่ได้รับความไว้วางใจจึงต้องลาออก

รัฐบาล ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์  ปราโมช  (มี.ค.2518 – ม.ค.2519)
     เมื่อรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ลาออกแล้ว  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  หัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นจากหลายพรรคการเมือง แต่การบริหารประเทศก็มีอุปสรรคอันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง การชุมนุมและเดินขบวนของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกไปจากประเทศไทย และเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างๆ
การบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  นายกรัฐมนตรีต้องประกาศยุบสภา  เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่

การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519
     ผลการเลือกตั้งจากการยุบสภา ทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นนายกฯอีกสมัยหนึ่ง แต่ก็ยังมีการประท้วงเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแรงงาน กลุ่มนักศึกษา ซึ่งได้รับการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม เช่น กลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน เป็นต้น
การประท้วงครั้งสำคัญ คือการประท้วงการกลับเข้ามาในราชอาณาจักรของสองอดีตผู้นำ จอมพลถนอมกับจอมพลประภาส
ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ความรุนแรงของความขัดแย้งถึงขนาดปะทะกันด้วยกำลัง ในที่ชุมนุมบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และลุกลามออกมาถึงบริเวณสนามหลวง มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต รัฐบาลประชาธิปัตย์ของ ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ตกเย็นวันนั้นเอง คณะทหารก็ประกาศยึดอำนาจ เรียกคณะของตนว่าคณะปฏิรูป           การปกครองแผ่นดิน มีพลเรือเอกสงัด  ชลออยู่  ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า และมีพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ เป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อาสาเข้ามาจัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองเสียใหม่ มีการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก และบางคนต้องหลบหนีเข้าป่าไปสมทบกับขบวนการคอมมิวนิสต์ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

รัฐบาลนายธานินทร์  กรัยวิเชียร  (8 ต.ค. – 19 ต.ค.2520)
     มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายธานินทร์  กรัยวิเชียร  เป็นนายกรัฐมนตรี     โดยมีรัฐธรรมนูญซึ่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงประกาศใช้ปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลักการสำคัญ คือ นายกรัฐมนตรี กับคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีอำนาจเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญสมัยเผด็จการ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์  ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่เหล่าทหารบางกลุ่ม นักการเมือง และประชาชน จนทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารขึ้น โดยมี     พลเอกฉลาด  หิรัญศิริ  เป็นหัวหน้า  แต่ถูกปราบปรามลง กลายเป็นขบถและหัวหน้ากลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารขึ้น ตามอำนาจเบ็ดเสร็จที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ

พลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์  ปฏิวัติและเป็นนายกรัฐมนตรี (11 พ.ย. 2520 – 3 มี.ค.2523)
     การบริหารอย่างเด็ดขาดของรัฐบาลนายธานินทร์ สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน และขัดแย้งกับทหารในคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด พลเรือเอกสงัด  ชลออยู่  ก็ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลและยุบสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มีพระบรม                  ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยพลเอกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ สมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามา และสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ทั้งยังขัดแย้งกับทหารกลุ่มหนุ่ม (ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า กลุ่มยังเติร์ก) ทำให้ต้องลาออก และพลเอกเปรม    ติณสูลานนท์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายทหารกลุ่มหนุ่ม ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ (พ.ศ.2523-2531)
     พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ.2523 และเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องอยู่นานถึง 8 ปี เนื่องจากพลเอกเปรมเป็นผู้ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด แต่รวมมือกับพรรคการเมืองและนักวิชาการตั้งรัฐบาลผสมขึ้น เป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษในการประสานความคิดและรู้จักผ่อนปรน   เป็นผู้ริเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายปราบปรามผู้ก่อการร้ายจากการใช้กำลังเป็นการให้ความเห็นใจ เช่น ไม่เอาโทษผู้ก่อการร้ายที่กลับใจ  ช่วยหาอาชีพให้ เรียกผู้กลับใจว่า ผู้ร่วมพัฒนาชาติ  เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ก่อการร้าย จึงทำให้มีจำนวนผู้ร่วมพัฒนาชาติมากขึ้นทุกที จนในที่สุดการก่อการร้ายก็หมดไป พร้อมกันนั้นก็เริ่มวางพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง เช่น การนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ และการสร้างท่าเรือน้ำลึก โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) เป็นต้น
หลังการเลือกตั้งใน พ.ศ.2531 พลเอกเปรม ก็วางมือจากการเมืองปล่อยให้นักการเมืองเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลกันเอง

รัฐบาลพลเอกชาติชาย  ชุณหวัณ (พ.ศ.2531-2534)



     เมื่อพลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  วางมือ บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ก็สนับสนุนให้พลเอกชาติชาย  ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลผสมขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผลพวงจากการวางรากฐานของรัฐบาลพลเอกเปรมเริ่มสัมฤทธิ์ผล การเศรษฐกิจของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว จัดเป็นชาติหนึ่งที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงสุดในโลก แต่รัฐบาลที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง รัฐมนตรีบางคนทุจริต กลุ่มทหารที่มีพลเอกสุนทร  คงสมพงษ์  เป็นหัวหน้าจึงเข้าทำการปฏิวัติ

สภา รสช. กับรัฐบาลนายอานันท์  ปันยารชุน  (พ.ศ.2534 – 2535)
     คณะปฏิวัติได้จัดการปกครอง โดยมีสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และได้ดำเนินการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีนายอานันท์  ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี

จลาจล (พฤษภาทมิฬ) พฤษภาคม 2535
      หลังจากร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 เสร็จแล้ว รัฐบาลนายอานันท์  ก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคการเมืองหลายพรรคได้รวบรวมเสียงข้างมากสนับสนุนให้ พลเอกสุจินดา  คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น สร้างความไม่พอใจให้แก่นักศึกษา นักการเมือง และประชาชน เพราะเห็นว่าพลเอกสุจินดา  เป็นผู้อยู่เบื้องหลังคณะ รสช. และทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้ไม่พอใจซึ่งมีพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำ  จึงทำการประท้วงอย่างกว้างขวาง เรียกร้องให้พลเอกสุจินดา  คราประยูร ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประการ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง
รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร ไม่ยอมลาออก ซ้ำยังใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมเดินขบวน ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง แต่ผู้ชุมนุมก็ผนึกกำลังต่อสู้อย่างไม่ลดละ

พระบารมียุติการจลาจล 
     เมื่อการชุมนุมต่อต้านพลเอกสุจินดา ไม่มีทีท่าว่าจะยุติได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุจินดา กับพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯ เพื่อพระราชทานโอวาทให้ปรองดองกัน โดยทรงมอบหมายให้ พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์  ซึ่งดำรงตำแหน่งองคมนตรี เป็นผู้ประสานความเข้าใจ การจลาจลจึงยุติลง พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออก และนายอานันท์  ปันยารชุน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่งเพื่อดำเนินการเลือกตั้งใหม่

รัฐบาลหลังยุค รสช.
     รัฐบาลนายอานันท์  ได้ยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ.2535 ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคอื่นๆ แต่ไม่ถึงกับเป็นเสียงข้างมากจึงต้องตั้งรัฐบาลผสมขึ้น มีนายชวน  หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อยู่ได้เพียง 2 ปีเศษ ก็ต้องลาออก เพราะถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เมื่อรัฐบาลนายชวน  หลีกภัย  ลาออกแล้วก็จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเดือนกรกฎาคม   พ.ศ.2538 พรรคชาติไทยได้เสียงมากกว่าพรรคอื่นๆ จึงได้รับมอบหมายให้จัดตั้งรัฐบาลโดยมี          นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย  เป็นนายกรัฐมนตรี และได้บริหารราชการมาเป็นเวลา  1 ปี 2 เดือน จึงถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว เนื่องจากไม่ได้บริหารราชการให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ แม้จะได้รับมติความไว้วางใจให้บริหารราชการ
ต่อไปได้ แต่นายกรัฐมนตรีก็ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2539 และจัดให้มี            
การเลือกตั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539

      ผลจากการเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคความหวังใหม่ที่มีพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ  เป็นหัวหน้า ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด จึงได้จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น โดยมีพลเอกชวลิต  ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2539แต่การเมืองการปกครองบ้านเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นย่อมจะไม่ราบรื่นเรียบร้อยเสมอไป
ความยุ่งยากทางการเมืองของไทย ยังคงมีต่อมาเป็นประวัติศาสตร์ที่เราจะต้องศึกษาต่อไป
หลังจากพลเอกชวลิต    ยงใจยุทธ  เป็นผู้นำในการบริหารประเทศมาได้ระยะหนึ่งก็เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (ยุค IMF)  พลเอกชวลิต  ยงใจยุทธก็ประกาศลาออก  รัฐบาลที่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่อมาก็คือรัฐบาลที่นำโดยนายชวน   หลีกภัย  แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้หมดไปจนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ และพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็คือ               พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ    ชินวัตร  เป็นหัวหน้าพรรคและได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี  หัวหน้าคณะรัฐบาล สามารถบริหารประเทศให้มีภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น        ในเวลาต่อมาแต่ก็มีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข ถือว่าความยุ่งยากทางการเมืองก็ยังไม่หมดไปจากสังคมไทย
อดีตรัฐบาลที่นำโดย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ     ชินวัตร ก็ได้รับเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 2  หลังจากสามารถบริหารประเทศครบตามวาระ 4 ปี ในสมัยแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก


ที่มา : ดร.ประเสริฐ วิทยารัฐและคณะ,หนังสือเรียน ส306 ประเทศของเรา 4 สมบูรณ์แบบ,
          (กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช,2542) 

         คณะทำงานเฉพาะกิจการจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ ,
         ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์ , (กรุงเทพฯ : อัมรินทร์การพิมพ์,2525) 

         สุคน  สินธพานนท์ และพรรษมน กิตติสารศักดิ์. สังคมศึกษา ส306. 2542. หน้า 72.

         http://th.wikipedia.org/wiki/